วิธีการล้างแผลแบบถูกวิธี
1. เมื่อมีเลือดออก
เลือดเป็นสิ่งที่ช่วยทำความสะอาดแผลเบื้องต้น
การมีเลือดออกจากแผลเล็กน้อยจึงถือเป็นสิ่งที่ดี
2. ล้างแผลให้สะอาด
ด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อ หรือน้ำเกลือที่มีความเข้มข้น 0.9%
สำหรับล้างแผลโดยตรง เพราะการล้างแผลด้วยน้ำเกลือจะไม่ทำให้รู้สึกแสบแผล
อีกทั้งการล้างแผลด้วยน้ำเกลือยังช่วยชะล้างสิ่งสกปรกและเชื้อโรคออกจากแผลได้
ลดการติดเชื้อ ที่สำคัญยังช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นอีกต่างหาก
3. เลือกยาใส่แผลให้เหมาะสม
แผลที่เสี่ยงติดเชื้อ หรือแผลเปิด เช่น แผลมีดบาด แผลถลอก แผลฉีกขาด
แผลถูกแทง แผลฉีกกระชาก และแผลตัดขาด อาจใช้ยาฆ่าเชื้อภายนอก (Topical
Antiseptic) เช่น โพวิโดน-ไอโอดีน
ทาแผลเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
4. พันแผลด้วยพลาสเตอร์ยาหรือผ้าพันแผล
การปิดแผลจะช่วยลดโอกาสที่เชื้อโรคจากภายนอกจะเข้าสู่บาดแผล
โดยเฉพาะหากแผลนั้น ๆ มีโอกาสเสียดสีกับเสื้อผ้าหรือรองเท้าโดยตรง
ซึ่งการปิดแผลที่ดีก็ควรเปลี่ยนพลาสเตอร์หรือผ้าพันแผลทุกวัน
รวมทั้งก่อนปิดแผลก็ควรล้างแผลและใส่ยารักษาแผลก่อนด้วยนะคะ
อย่างไรก็ดี สำหรับแผลที่ค่อนข้างลึก ใหญ่ และบาดเจ็บอย่างรุนแรง
หรือเป็นแผลบริเวณใกล้ดวงตา แผลเปิดกว้าง แผลเกิดจากของขึ้นสนิม หรือโดนสัตว์กัด
เลือดไหลไม่หยุดยาวนานประมาณ 5-10 นาที หรือแม้แต่แผลเล็ก ๆ
แต่มีอาการปวดแผล แผลบวมแดง มีน้ำหนอง หรือมีอาการไข้ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าบาดแผลอาจเกิดการอักเสบ
และควรพาตัวเองไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นอีกครั้งด้วยนะคะ
ความจริงเกี่ยวกับการล้างแผลที่ถูกต้อง
5 ความจริงเกี่ยวกับการล้างแผลดังนี้
1. ทำไมควรล้างแผลด้วยน้ำเกลือ
น้ำเกลือปราศจากเชื้อสำหรับล้างแผลโดยตรง อย่างน้ำเกลือ Saline Kare
เป็นน้ำเกลือที่มีตัวยาโซเดียม คลอไรด์ 0.9%
โดยความเข้มข้นของน้ำเกลือชนิดนี้ จะมีความสมดุลกับเนื้อเยื่อของร่างกาย จึงไม่ทำให้รู้สึกแสบ
อีกทั้งการล้างแผลด้วยน้ำเกลือที่มีความเข้มข้น 0.9%
ยังสามารถชำระความสกปรกและเชื้อโรคออกจากแผลได้อย่างสะอาด ปราศจากการระคายเคือง
ลดโอกาสติดเชื้อ และทำให้แผลหายเร็วขึ้นอย่างที่บอกไปในช่วงแรก
ดังนั้นหากเคยไปล้างแผลที่โรงพยาบาลมาบ้าง
ก็จะเห็นได้เลยว่าพยาบาลและแพทย์จะใช้น้ำเกลือล้างแผลให้เราตลอดยังไงล่ะคะ
2. ทำไมใช้น้ำเกลือล้างแผลถึงไม่แสบ
ตัวยาโซเดียมคลอไรด์ 0.9% ที่มีอยู่ในน้ำเกลือ
เป็นสารละลายที่มีความสมดุลกับน้ำในเซลล์ร่างกาย
จึงไม่ทำให้รู้สึกแสบเมื่อล้างแผลด้วยน้ำเกลือ
3. น้ำเกลือต่างกับน้ำทะเลอย่างไร
น้ำทะเลจะประกอบไปด้วยธาตุ และส่วนประกอบไม่พึงประสงค์อื่น ๆ
ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความเข้มข้นกว่าน้ำในเซลล์ร่างกาย
จึงอาจทำลายความสมดุลของน้ำในเซลล์เนื้อเยื่อ
เป็นเหตุให้รู้สึกแสบแผลเมื่อโดนน้ำทะเลได้
ส่วนน้ำเกลือปราศจากเชื้อสำหรับล้างแผล
มีส่วนประกอบที่สมดุลกับน้ำในเซลล์ร่างกายอยู่แล้ว
จึงไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองแผลนั่นเอง
4. ใช้น้ำประปาล้างแผลได้หรือไม่
น้ำประปาเป็นสารละลาย Hypotonic มีความเข้มข้นต่ำกว่าน้ำในเซลล์ร่างกาย
จึงอาจทำลายเซลล์เม็ดเลือดและเซลล์เนื้อเยื่อสร้างใหม่ รบกวนการสมานแผล
ทำให้รู้สึกแสบแผล และอาจทำให้แผลหายช้าลง
5. ใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลได้หรือไม่
เชื่อไหมคะว่าเราอาจใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลแบบผิด ๆ มาทั้งชีวิต
เพราะที่จริงแล้วแอลกอฮอล์เป็นยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่
สำหรับเช็ดผิวหนังรอบแผลก่อนผ่าตัดหรือก่อนฉีดยาเท่านั้น
เพื่อลดโอกาสที่เชื้อโรครอบปากแผลจะเข้าสู่แผลได้
นอกจากนี้เรายังไม่ควรใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลเปิดให้แสบฟรี ๆ อย่างยิ่ง
เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ทำลายโปรตีนในเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดเนื้อตาย
อาจรู้สึกระคายเคืองและแสบร้อนแผล และทำให้แผลหายช้า เห็นได้ชัดเลยว่า
น้ำเกลือเป็นน้ำยาล้างแผลที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกข้อจริง ๆ
แต่ทั้งนี้ก็ควรเลือกใช้น้ำเกลือที่ถูกวัตถุประสงค์ของการล้างแผลด้วยนะคะ
โดยอาจเลือกใช้น้ำเกลือล้างแผลด้วยข้อสังเกตข้างล่างนี้
ควรเลือกน้ำเกลือแแบบไหนมาล้างแผล
น้ำเกลือล้างแผล
น้ำเกลือล้างแผลมีขายอยู่หลายยี่ห้อพอสมควร หลายคนเลยเกิดคำถามว่า
แล้วเราควรเลือกน้ำเกลือล้างแผลแบบไหนมาใช้ดีล่ะ ขออนุญาตตอบข้อข้องใจตรงนี้ชัด ๆ
ว่า ควรเลือกซื้อน้ำเกลือล้างแผลชนิดที่ปราศจากเชื้อ
เช็กว่ามีความเข้นข้นของตัวยาโซเดียม คลอไรด์ 0.9%
ไหม รวมทั้งบรรจุภัณฑ์ก็ควรมีฝาปิดมิดชิด ใช้งานสะดวก เก็บรักษาได้ง่าย
ไม่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนในน้ำเกลือ อย่างน้ำเกลือซาไลน์แคร์ (Saline Kare) เป็นต้น
ซึ่งมีข้อแตกต่างจากน้ำเกลือล้างแผลอื่น ๆ ตามนี้
1. น้ำเกลือล้างแผลซาไลน์แคร์ไม่ทำให้แสบแผล
นอกจากจะช่วยทำความสะอาดแผลและลดการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
น้ำเกลือซาไลน์แคร์ยังมีความเข้มข้นของตัวยาโซเดียม คลอไรด์อยู่ที่ 0.9%
ซึ่งมีความสมดุลกับน้ำในเซลล์ร่างกาย จึงไม่ทำให้รู้สึกแสบแผลเลยสักนิด
2. น้ำเกลือซาไลน์ เป็นน้ำเกลือปราศจากเชื้อ
น้ำเกลือซาไลน์แคร์ เป็นน้ำเกลือปราศจากเชื้อที่ไม่ใส่วัตถุกันเสีย
ดังนั้นเมื่อเปิดขวดใช้แล้วควรใช้น้ำเกลือให้หมดภายใน 30
วัน
3. บรรจุภัณฑ์ดีไซน์มาตอบโจทย์
ผลิตภัณฑ์ซาไลน์แคร์อยู่ในรูปขวดปลายแหลม
มีระบบการเปิด-ปิดฝาที่ป้องกันการปนเปื้อนระหว่างการใช้ ทำให้ปลอดภัยต่อเชื้อโรค
อีกทั้งขวดปลายแหลมยังช่วยให้มีแรงฉีดสำหรับชะล้างสิ่งสกปรกออกจากบาดแผลได้สะอาด
โดยไม่ต้องใช้ผ้าก็อซหรือสำลีถูบริเวณแผลให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและอาการบาดเจ็บ
เช่น ปากแผลเปิดกว้างมากขึ้น เป็นต้น
4. ปริมาณน้ำเกลือพอเหมาะกับการใช้งาน
ขวดน้ำเกลือซาไลน์แคร์มีอยู่ขนาดเดียว คือ
น้ำเกลือล้างแผลซาไลน์แคร์ขนาดบรรจุ 200 มิลลิลิตร ด้วยเหตุผลที่ว่า น้ำยาล้างแผลควรฉีดล้างด้วยปริมาณน้ำเกลือพอสมควร
ให้สิ่งสกปรกหลุดออกจากบาดแผลให้หมด
และเพื่อให้น้ำเกลือพอดีกับการล้างแผลมากที่สุด
ไม่ต้องเหลือน้ำเกลือทิ้งไปให้น่าเสียดาย
5. หาซื้อง่าย ใช้สะดวก
น้ำเกลือซาไลน์แคร์สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าสะดวกซื้อ (7-Eleven) และร้านขายยาชั้นนำทั่วไป
การปฐมพยาบาล
ประเภทของบาดแผล
บาดแผล
แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
•
บาดแผลสะอาด หมายถึง บาดแผลที่เกิดขึ้นแต่ไม่มีการติดเชื้อโรค
ลักษณะเนื้อเยื่อบริเวณแผลจะมีสีชมพูอมแดง ไม่พบลักษณะของการอักเสบบวมแดง
•
บาดแผลติดเชื้อ หมายถึง บาดแผลที่มีการติดเชื้อโรคร่วมด้วย
ลักษณะแผลจะแสดงถึงการอักเสบ ได้แก่ อาการปวด บวม แดง ร้อน
ภายหลังจะพบหนองบริเวณบาดแผล
คุณสมบัติของแผ่นปิดบาดแผลที่ดี
ลักษณะของแผ่นปิดบาดแผลที่ดีควรป้องกันบาดแผลจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม
สามารถดูดซึมน้ำเหลืองที่ออกมาจากบาดแผลได้ดี
ป้องกันการเสียความร้อนและความชื้นจากบาดแผล เพื่อทำให้เกิดการสมานแผล และแผ่นปิดบาดแผลที่ดีไม่ควรเหนียวติดบาดแผลง่าย
ตัวอย่างแผ่นปิดแผลชนิดต่างๆ เช่น
•
ผ้าก็อซปิดแผลแบบธรรมดา
คุณสมบัติของผ้าก็อซจะทำหน้าที่ดูดซับน้ำเหลืองจากบาดแผล
ถ้าหากบาดแผลนั้นมีน้ำเหลืองไหลออกมามาก อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าก็อซบ่อยครั้ง
ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อด้อยของการใช้ผ้าก็อซในการปิดแผล
นอกจากนั้นผ้าก็อซอาจจะติดแน่นกับแผล
ส่งผลให้เจ็บเวลาดึงผ้าก็อซออกและยากแก่การทำแผลในครั้งถัดไป
•
Medicate
paraffin gauze
เป็นผ้าก็อซสังเคราะห์ที่มีการเพิ่มการเคลือบพาราฟิน
โดยสามารถดูดซับของเหลวได้ดี จุดเด่นที่สำคัญ คือ ผ้าก็อซชนิดนี้ไม่ติดกับแผล
ทำให้ลดปัญหาเมื่อต้องเปลี่ยนแผ่นปิดแผลบางชนิดอาจมีการผสมตัวยา antiseptics ลงไปด้วย เพื่อช่วยในเรื่องของการฆ่าเชื้อโรค และป้องกันการติดเชื้อ
ข้อด้อยของแผ่นปิดแผลประเภทนี้คือไม่เหมาะสมในกรณีที่บาดแผลเปิดเป็นบริเวณกว้าง
เนื่องจากรูตาข่ายของแผ่นปิดแผลค่อนข้างใหญ่
•
พลาสเตอร์ฟิล์มใส
ลักษณะเป็นแผ่นบางใส
ยืดหยุ่น สามารถติดกับผิวหนังได้ ทำให้แผลมีความชุ่มชื้น และสามารถป้องกันน้ำได้
ข้อเสียคือแผ่นปิดแผลชนิดนี้ส่วนใหญ่ไม่สามารถระบายน้ำเหลืองได้
จึงไม่เหมาะกับบาดแผลที่มีน้ำเหลืองไหลออกมาปริมาณมาก
แต่เหมาะที่จะใช้ในการบาดแผลที่ไม่มีการติดเชื้อ เช่น บาดแผลที่เกิดจากของมีคม
แผลถลอก หรือแผลเย็บ
โดยวัตถุประสงค์ในการใช้เพื่อป้องกันน้ำและเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่บาดแผล
•
พลาสเตอร์ไฮโดรคอลลอยด์
ประกอบด้วย
hydrocolloid
matrix มีข้อดีคือเป็นแผ่นปิดแผลที่ช่วยดูดน้ำเหลืองเข้าไปในแผ่นและกลายเป็นเจล
เพื่อปกป้องบาดแผลจากเชื้อโรค สามารถปิดบาดแผลได้ประมาณ 3-5 วัน
การเลือกใช้เหมาะสำหรับบาดแผลบริเวณที่เป็นพื้นราบ เช่น หน้าอก ท้อง แขน ขา
โดยบาดแผลนั้นควรมีน้ำเหลืองไหลออกมาในปริมาณไม่มาก
ข้อห้ามที่สำคัญสำหรับแผ่นปิดแผลประเภทนี้ คือ ห้ามใช้ในบาดแผลที่มีการติดเชื้อ
นอกจากนี้บางชนิดยังมีการเพิ่มอนุภาคของวาสลิน
และมีลักษณะเป็นตาข่ายโปร่ง ส่งผลให้ไม่ติดแผล จึงไม่ทำให้เจ็บเวลาลอกออก
และยังมีรูปแบบที่เติมซิลเวอร์ซัลฟาไดอาซีน
ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียลงไปด้วย
ทั้งนี้ห้ามใช้แผ่นปิดแผลที่มีส่วนประกอบของซิลเวอร์ซัลฟาไดอาซีน หากมีประวัติแพ้ยาในกลุ่มซัลฟา
ในขณะที่บางผลิตภัณฑ์ก็มีการพัฒนาเพิ่มเติมให้สามารถใช้ในบาดแผลที่มีน้ำเหลืองไหลออกมาในปริมาณปานกลางถึงมากได้
ผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้จะประกอบด้วยวัสดุ 2 ชั้น ชั้นบนเป็น polyurethane film และชั้นล่างเป็น polyurethane matrix โดยจะดูดซับของเหลวและเนื้อเยื่อที่ตายแล้วจากบาดแผล
•
แผ่นปิดแผลที่มีส่วนประกอบของอัลจิเนต
จุดเด่นของแผ่นปิดแผลประเภทนี้
คือ สามารถดูดซับน้ำเหลืองได้ดีกว่าแผ่นไฮโดรคอลลอยด์
เหมาะกับบาดแผลที่มีน้ำเหลืองปานกลางถึงมาก
แผ่นปิดแผลชนิดนี้ดึงออกจากบาดแผลได้ง่าย ทั้งนี้เนื่องจากวัสดุปิดแผลทำจากอนุพันธ์ของสาหร่ายทะเล
เมื่อดูดซับน้ำเหลืองจะเปลี่ยนแปลงสภาพกลายเป็นเจล
•
แผ่นปิดแผลชนิดโฟม หรือไฮโดรเซลลูล่าร์
มีคุณสมบัติเด่นในการดูดซับน้ำเหลืองได้สูง
ป้องกันน้ำและเชื้อแบคทีเรียได้ดี สามารถแกะออกได้ง่าย ไม่ติดแผล
มักใช้ในผู้ป่วยที่มีแผลกดทับ แผ่นปิดแผลชนิดนี้ยังสามารถดูดซับน้ำเหลืองได้
บางชนิดอาจมีการผสมซิลเวอร์ไว้ด้วย เพื่อช่วยกำจัดและป้องกันการติดเชื้อ
•
เจลสำหรับแผลเรื้อรัง
ลักษณะเป็นเจลใส
ประกอบด้วยน้ำและโพลีเมอร์ต่างๆ มีคุณสมบัติช่วยให้แผลอยู่ในสภาวะชุ่มชื้น
มีฤทธิ์ในการดูดซับน้ำเหลืองได้ดี สามารถใช้ได้กับทั้งบาดแผลไม่ว่าจะตื้นหรือลึก
แต่ทั้งนี้การใส่ลงไปในบาดแผลควรที่จะใช้ผ้าก็อซแห้งหรือแผ่นฟิล์มปิดทับด้านบนเจลอีกที